คู่มือฉบับเต็ม! ส่งของไปต่างประเทศอย่างมือโปร

อยากส่งของไปต่างประเทศแต่ไม่รู้ต้องทำอย่างไร ต้องเริ่มต้นจากตรงไหน ต้องติดต่อใครก่อน คำถามมากมายเต็มไปหมด สุดท้ายไม่ได้ส่งของสักทีเพราะคิดว่ามันยุ่งยาก บทความนี้จะมาไขข้อข้องใจ เป็นคู่มือฉบับเต็มที่จะเปลี่ยนเรื่องที่ว่ายากให้กลายเป็นเรื่องง่าย ให้คุณสามารถส่งของไปต่างประเทศได้แบบมือโปร รวบรวมเรื่องที่ต้องรู้ เอกสารที่ต้องเตรียม ค่าใช้จ่าย การเสียภาษี และการเลือกขนส่ง รับรองเมื่อว่าอ่านคู่มือฉบับนี้จบจะเปลี่ยนจากมือใหม่เป็นมือโปรได้อย่างแน่นอน

ส่งของไปต่างประเทศ

สารบัญ

1. ตรวจสอบกฎระเบียบของประเทศปลายทางก่อนส่งของ

ตรวจสอบกฎระเบียบของประเทศปลายทางก่อนส่งของไปต่างประเทศ คือ ขั้นตอนแรกที่ทุกคนต้องทำก่อนเริ่มส่งของ เนื่องจากข้อกำหนดในการนำเข้าสินค้าของประเทศปลายทางแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ดังนั้นการละเลยขั้นตอนนี้อาจนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ที่ต่างมา เช่น สินค้าถูกกักกัน ถูกตีกลับ หรือมีค่าปรับที่ไม่คาดคิด โดยสิ่งที่ต้องตรวจสอบมีดังนี้

  • สินค้าต้องห้ามและสินค้าควบคุม แต่ละประเทศมีรายการสินค้าที่ห้ามนำเข้าหรือมีข้อจำกัดในการนำเข้าอย่างเข็มงวด เช่น ยาเสพติด วัตถุอันตราย สิ่งมีชีวิตบางชนิด หรือสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ จึงจำเป็นต้องศึกษาเรื่องนี้อย่างละเอียดจากเว็บไซต์ของหน่วยงานศุลกากรของประเทศปลายทาง หรือสอบถามไปยังบริษัทขนส่งที่เลือกใช้อย่างละเอียดก่อนการส่งของ
  • เอกสารที่จำเป็นสำหรับการนำเข้า ตรวจสอบเอกสารที่จำเป็นสำหรับการนำเข้า เนื่องจากประเทศปลายทางอาจต้องการเอกสารเฉพาะเจาะจงสำหรับการนำเข้าสินค้า เช่น ใบกำกับสินค้า (Invoice), ใบรายการบรรจุหีบห่อ (Packing List), ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) หรือเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเภทของสินค้า
  • ข้อกำหนดด้านบรรจุภัณฑ์และการติดฉลาก ไม่ใช่ว่าจะส่งของต่างประเทศแบบไหนก็ได้ ตรวจสอบให้ดีบางประเทศอาจมีข้อกำหนดพิเศษเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ในการบรรจุภัณฑ์ หรือข้อกำหนดในการติดฉลากสินค้า เช่น ภาษาที่ต้องใช้ หรือข้อมูลที่ต้องระบุบนฉลาก
ส่งของไปต่างประเทศ กี่บาท

2. รู้ก่อนจ่าย! ค่าใช้จ่ายในการส่งของไปต่างประเทศมีอะไรบ้าง

ค่าใช้จ่ายในการส่งของไปต่างประเทศมีอะไรบ้าง เป็นอีกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนจะจ่ายค่าอะไรสักอย่าง เพราะการทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งของต่างประเทศจะช่วยให้สามารถวางแผนงบประมาณที่เหมาะสมได้ รวมถึงจะช่วยหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด โดยค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ที่ต้องพิจารณา ได้แก่

  • ค่าขนส่ง เป็นค่าบริการหลักที่คิดตามน้ำหนัก ขนาด และปลายทางของพัสดุ บริษัทขนส่งแต่ละแห่งมีอัตราค่าบริการที่แตกต่างกัน และอาจมีค่าบริการเพิ่มเติมสำหรับบริการพิเศษ
  • ค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิง (Fuel Surcharge) บริษัทขนส่งส่วนใหญ่มักจะคิดค่าธรรมเนียมนี้เพิ่มเติม ซึ่งจะผันผวนตามราคาน้ำมันในตลาดโลก
  • ค่าธรรมเนียมพื้นที่ห่างไกล (Remote Area Surcharge) หากหลายทางของการจัดส่งอยู่ในโซนพื้นที่ห่างไกล หรือเข้าถึงยาก อาจมีการคิดค่าธรรมเนียมในส่วนนี้เพิ่มเติม
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) บางประเทศอาจมีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าสินค้า
  • อากรศุลกากรและภาษีนำเข้า ค่าใช้จ่ายที่ผู้รับปลายทางจะต้องชำระเมื่อสินค้าถึงประเทศปลายทาง อัตราและวิธีการคำนวณจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศและประเภทของสินค้า
  • ค่าบริการเสริมอื่น ๆ เช่น ค่าประกันภัยสินค้า ค่าดำเนินการด้านเอกสาร ค่าพิธีการศุลกากร
ส่งของไปต่างประเทศ เอกสาร

3. เตรียมเอกสารสำหรับการส่งของไปต่างประเทศให้พร้อม

การเตรียมเอกสารสำหรับการส่งของไปต่างประเทศให้พร้อมเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง แต่อย่าเพิ่งคิดว่ามันยาก เพราะการเตรียมเอกสารให้ถูกต้องและครบถ้วนจะช่วยให้การจัดส่งเป็นไปอย่างราบรื่นและหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับศุลกากร โดยเอกสารที่จะต้องจัดเตรียมมีหลัก ๆ ดังนี้

  • ใบตราส่งสินค้า (Shipping Label/Waybill) เป็นเอกสารที่บริษัทขนส่งจะเป็นผู้จัดเตรียมให้ โดยผู้ส่งจะต้องกรอกรายละเอียดของผู้ส่ง ผู้รับ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ รายละเอียดสิ่งของ มูลค่า และน้ำหนักให้ถูกต้อง
  • ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice) ใช้สำหรับการส่งสินค้าเชิงพาณิชย์ จะต้องมีใบกำกับสินค้าที่ระบุรายละเอียดสินค้า จำนวน ราคา มูลค่ารวม สกุลเงิน เงื่อนไขการชำระเงิน และลายเซ็นของผู้ส่ง
  • บัญชีรายการบรรจุภัณฑ์ (Packing List) เป็นเอกสารที่บอกรายละเอียดของสิ่งของทั้งหมดที่บรรจุในแต่ละกล่อง โดยจะต้องระบุจำนวนและน้ำหนักของแต่ละรายการ
  • เอกสารอื่น ๆ ที่อาจจำเป็น ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าและกฎระเบียบของประเทศปลายทาง เช่น ใบอนุญาตส่งออก/นำเข้า ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) หรือเอกสารรับรองสุขอนามัย (Sanitary Certificate)

ในขั้นตอนของการเตรียมเอกสารให้พร้อมก่อนส่งสินค้าไปต่างประเทศนั้น แนะนำว่าให้ผู้ส่งสอบถามรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับเอกสารที่จำเป็นสำหรับประเทศปลายทางของคุณโดยเฉพาะ และกรอกเอกสารทุกฉบับให้ถูกต้อง รวมถึงทำสำเนาเอกสารทุกฉบับเก็บไว้เป็นหลักฐาน

ส่งของไปต่างประเทศ ภาษี

4. เข้าใจเรื่องอากรศุลกากรและภาษีก่อนส่งสินค้า

อากรศุลกากรและภาษี ก่อนส่งสินค้าไปต่างประเทศจะละเลยการศึกษาในส่วนนี้ไปไม่ได้ โดยอากรศุลกากรและภาษีนำเข้าเป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้รับปลายทางจะต้องชำระเมื่อสินค้าถึงประเทศปลายทาง อัตราและวิธีการคำนวณจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศและประเภทของสินค้า โดยทั่วไป อากรศุลกากรจะคำนวณจากมูลค่าของสินค้า (CIF – Cost, Insurance, and Freight) ซึ่งรวมถึงราคาสินค้า ค่าขนส่ง และค่าประกันภัย ส่วนภาษีนำเข้า นอกจากอากรศุลกากร อาจมีภาษีอื่น ๆ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีสรรพสามิต หรือภาษีอื่นๆ ตามกฎหมายของประเทศปลายทาง ทั้งนี้บางประเทศอาจมีเกณฑ์มูลค่าสินค้าขั้นต่ำที่ได้รับการยกเว้นอากรศุลกากร ดังนั้นการทำความเข้าใจในเรื่องนี้จะช่วยให้ทั้งผู้ส่งและผู้รับเตรียมตัวได้อย่างถูกต้อง

5. วิธีบรรจุภัณฑ์และติดฉลากอย่างถูกต้องเพื่อส่งของต่างประเทศ

วิธีบรรจุภัณฑ์และติดฉลากอย่างถูกต้องเพื่อส่งของต่างประเทศจะช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการขนส่งได้ โดยผู้ส่งควรเลือกขนาดกล่องที่เหมาะสมกับไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป เพราะหากกล่องใหญ่อาจทำให้สิ่งของเคลื่อนที่และเสียหาย หากเล็กไปอาจทำให้กล่องโป่งพองและแตกได้ และควรห่อหุ้มสิ่งของแต่ละชิ้นอย่างแน่นหนาด้วยวัสดุกันกระแทก เช่น บับเบิ้ลแรป กระดาษหนังสือพิมพ์ หรือโฟม เพื่อป้องกันการแตกหักเสียหาย โดยเฉพาะสิ่งของที่แตกหักง่าย และไม่ลืมที่จะผิดผนึกกล่องให้แน่นหนาด้วยเทปกาวที่แข็งแรง 2-3 รอบ
สำหรับการติดฉลาก ให้ติดใบตราส่งสินค้า (Shipping Label) บนด้านที่เรียบที่สุดของกล่อง และตรวจสอบให้แน่ใจว่าบาร์โค้ดสามารถสแกนได้ง่าย อีกทั้งยังควรติดฉลากที่ระบุชื่อ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ส่งและผู้รับไว้อีกครั้งบนกล่อง เผื่อในกรณีที่ฉลากหลักเสียหาย

ส่งของไปต่างประเทศ Freight Ranger

6. เลือกบริษัทส่งของไปต่างประเทศที่ไว้ใจได้จากประเทศไทย

การเลือกบริษัทส่งของไปต่างประเทศที่ไว้ใจได้และเหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การส่งของต่างประเทศประสบความสำเร็จ โดยควรพิจารณาจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ความน่าเชื่อถือ บริการที่หลากหลาย ระยะเวลาการจัดส่ง และราคาค่าใช้จ่าย เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าของคุณจะถึงประเทศปลายทางอย่างเรียบร้อยปลอดภัย

Freight Ranger บริษัทขนส่งสินค้าต่างประเทศที่ไว้ใจได้จากประเทศไทย ที่ให้บริการขนส่งสินค้าทั้งในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Air Freight, Sea Freight หรือ Forwarding Services รูปแบบอื่น ๆ มีประสบการณ์ในการขนส่งสินค้าไปยังต่างประเทศให้กับธุรกิจชั้นนำมากมาย และพร้อมให้คำปรึกษาคุณเพื่อให้การส่งของต่างประเทศเป็นเรื่องง่าย

FAQ

ส่งของไปต่างประเทศต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง?

การส่งของไปต่างประเทศมีเอกสารที่จำเป็นต้องใช้เพื่อให้กระบวนการขนส่งเป็นไปอย่างราบรื่นและถูกต้องตามหลักกฎหมายของประเทศต้นทางและปลายทาง เอกสารหลัก ๆ ที่จำเป็นต้องเตรียมมีดังนี้
– ใบตราส่งสินค้า (Air Waybill – AWB หรือ Bill of Lading – B/L)
– บัญชีราคาสินค้า (Commercial Invoice)
– เอกสารแสดงรายละเอียดการบรรจุหีบห่อ (Packing List)
– เอกสารอนุญาตส่งออก/นำเข้า (Export/Import License)
– ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin – C/O)
– เอกสารอื่น ๆ แล้วแต่สินค้า

ของห้ามส่งระหว่างประเทศมีอะไรบ้าง?

ของห้ามส่งของไปจีน ส่งระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันความปลอดภัยและเป็นไปตามกฎระเบียบสากล ได้แก่ ยาเสพติด, อาวุธ, วัตถุระเบิด, สื่อลามกอนาจาร,สัตว์มีชีวิต, พืชมีชีวิตสารไวไฟ, สารพิษ, สารกัดกร่อน, วัตถุกัมมันตรังสี, แบตเตอรี่ลิเธียมที่ไม่มีการแพ็คอย่างถูกต้อง, แม่เหล็กแรงสูง, วัตถุมีคมที่ไม่มีการห่อหุ้มอย่างปลอดภัย, อาหารบางประเภท, ยาบางชนิด, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, สินค้าปลอมแปลง, ของเลียนแบบ, เงินสด, ทองคำ, อัญมณี และหลักทรัพย์

ค่าขนส่งขึ้นกับอะไร?

ค่าขนส่งขึ้นอยู่กับน้ำหนักและขนาดของพัสดุ ยังมีเรื่องของระยะทาง ประเภทบริการขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นทางอากาศ ทางเรือ หรือทางบก ในกรณีที่ส่งของไปยังต่างประเทศอาจจะมีอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินประเทศปลายทาง รวมถึงค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิง ค่าธรรมเนียมท่าเรือ/ สนามบิน และภาษีอากรขาเข้าที่ประเทศปลายทาง

แพ็คพัสดุอย่างไรให้ปลอดภัย?

การแพ็คพัสดุให้ปลอดภัย เริ่มต้นได้จากการเลือกกล่องที่เหมาะสม โดยกล่องที่เลือกจะต้องมีความแข็งแรง มีขนาดพอดีกับสินค้า ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป หากสินค้ามีน้ำหนักเยอะ แนะนำให้ซ้อนกล่องกัน 2-3 ชั้น และใช้วัสดุกันกระแทกอย่างบับเบิ้ลกันกระแทก โฟม หรือเม็ดโฟม ในการห่อหุ้มสินค้าแต่ละชิ้น เพื่อเติมช่องวางให้เต็มกล่อง เมื่อใส่ของเรียบร้อยแล้ว ให้ปิดผนึกกล่องอย่างแน่นหนาอีกครั้ง พร้อมติดฉลากระบุที่อยู่ผู้ส่ง ผู้รับให้ชัดเจน ในกรณีที่ของมีโอกาสแตกหรือหักง่าย แนะนำให้ติดป้าย “ระวังแตก” หรือ “Fragile” นอกจากนี้ หากสินค้ามีมูลค่าสูง การทำประกันภัยพัสดุเพิ่มเติมก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเพิ่มความอุ่นใจได้มากทีเดียว

Scroll to Top